แรงจูงใจภาครัฐฯ หนุนตลาด EV โต ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ภายในปี 2030 และ HEV ไฮบริด ยึด 62% ของตลาด
บริษัท อิปซอสส์ จำกัด (Ipsos Ltd.) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ได้จัดงานเปิดตัวรายงานชุด “Thailand Auto Trend-The Rise of Pure Electric Cars” รถไฟฟ้ากับการพลิกโฉมอนาคตยานยนต์ของประเทศ นำโดย นายเสถียรสิทธิ พรบุญยรัตน์ Associate Director ร่วมนำเสนอผลการศึกษา ถึง บทบาทของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้เริ่มเข้ามาเป็นตัวพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และ แนวโน้มและการตอบรับของตลาดและกลุ่มผู้ใช้รถ ตลอดจนถึง ปัจจัยสำคัญสำคัญ ต่อการเติบโต และ ลักษณะการแข่งขันในตลาดรถไฟฟ้า โดยมีแบรนด์ใหม่ๆ ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้แข่งขันมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยที่ลงตัวทั้งนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ และการรุกตลาดอย่างจริงจังของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน
นายเสถียรสิทธิ เปิดเผยว่า ภูมิทัศน์ยานยนต์ในประเทศไทย การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาป สู่ “รถยนต์ไฟฟ้า” ทั้งนี้ มาจากปัจจัยหนุนหลายประการ ตั้งแต่แรงจูงใจจากภาครัฐ ทัศนคติของผู้บริโภค หรือ ผู้ใช้รถที่เริ่มเปลี่ยนไป มีการตอบรับรถประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในปัจจัย คือ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ามีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และ ราคาที่จับต้องได้
ตลาดรถยนต์ไทยโดยรวมหดตัว แต่รถยนต์ไฟฟ้าโตต่อเนื่อง
แม้ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมของไทยจะมียอดขายลดลงถึงระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ปี 2552 เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น หนี้ครัวเรือนและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับเติบโตต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกของปี 2568 ยอดขายรถยนต์ xEV (BEV + PHEV + HEV) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 67,000 คัน สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งถึง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือยอดขายกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40.2% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในไตรมาสนี้ ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อน การเติบโตนี้คือรถยนต์ไฮบริด (HEV) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาด xEV ถึง 62% บ่งชี้ถึงช่วงเปลี่ยนผ่านที่อาจเกิดขึ้นไปสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
ผู้เล่นหน้าใหม่ครองตลาด [SP2] ยอดพุ่งในงานมอเตอร์โชว์
ในส่วนของสภาวะการแข่งขันและแบรนด์ นายเสถียรสิทธิ พรบุญยรัตน์ เปิดเผยว่า รถยนต์ไฟฟ้า แตกต่างกันตามระบบการทำงานหลากหลาย เช่น BEV (ยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่), PHEV (ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ ไฮบริดปลั๊กอิน), HEV (ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด) โดยอุตสาหกรรมยานยนต์
ไฟฟ้าในประเทศไทย คือผู้ผลิตรถยนต์จากจีน ซึ่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเข้าถึงได้และมีกลยุทธ์ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ยืนยันได้จากสถิติการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 โดย แบรนด์ที่มีการจองสูงสุด 15 อันดับ กว่าครึ่งเป็นแบรนด์จากจีน (8 ใน 15) แซงหน้าคู่แข่งจากญี่ปุ่นและยุโรป โดย BYD เป็นผู้นำด้วยยอดจอง 10,353 คัน ตามมาด้วย GAC AION, Deepal และ GWM ด้วยยอดจอง 7,018, 6,589 และ 4,959 คัน ตามลำดับ
แรงจูงใจของผู้บริโภคในการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้ จากการที่ไทยมีเป้าหมายหลักของตลาดรถ EV ในการเป็น “ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชีย” (EV Hub) รัฐบาลตั้งเป้าให้ไทยผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี 2030 โดยมีนโยบายสนับสนุน เช่น การลดภาษี, เงินอุดหนุนการซื้อ, สิทธิประโยชน์ลงทุนสำหรับผู้ผลิต, และการพัฒนาสถานีชาร์จ
มีผู้บริโภคชาวไทยจำนวนเพิ่มขึ้นที่พิจารณาการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อถามถึงรถยนต์คันต่อไปที่พิจารณาซื้อ 33% ของเจ้าของรถยนต์ ระบุว่า จะพิจารณารถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากกว่า รถยนต์สันดาป (28%) และอีก 32% พิจารณาซื้อรถยนต์ไฮบริด แนวโน้มนี้สอดคล้องกันในทุกกลุ่มอายุ โดยทุกกลุ่มแสดงให้เห็นถึงความสนใจในรถยนต์ EV และ HEV มากกว่ารถยนต์สันดาป และ แยกตามช่วงอายุ ได้ดังนี้
อายุ 20-29 ปี จะสนใจรถเลือกรถไฟฟ้าแบบ ไฮบริด ในอัตร 33% รถที่ใช้น้ำมัน 31% BEV 29% และ 7% ยังไม่ตัดสินใจ อายุ 30-44 ปี จะสนใจรถ BEV HEV รถใช้นำมัน และ ยังไม่ตัดสินใจ ในอัตรา 34%, 29%, 29% และ 10% ตามลำดับ ส่วนอายุ 40-65 ปี สนใจรถแบบ BEV และ HEV ในอัตราที่เท่ากัน คือ 32% ส่วนรถน้ำมัน 24% โดยกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกรถแบบไหน ในอัตรา 12%
นายเสถียรสิทธิ เปิดเผยเพิ่มเติมถึง ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการพิจารณาซื้อรถ EV คือ ราคาและมูลค่า 57% ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม 51% เทคโนโลยีที่เหนือกว่า 49% ประสบการณ์การขับขี่ที่ดี[SP3] 41%
ราคาและมูลค่าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคมาโดยตลอดในอดีต รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมสเปกสูงและสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม มักมีราคาที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น และอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ทันสมัย ในราคาที่เข้าถึงได้
อุปสรรคในการขยายตัวของรถไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจยังเผยถึงความท้าทายและอุปสรรค ที่ทำให้หลายคนยังลังเลที่จะซื้อรถยนต์ EV โดยพบข้อกังวลหลักที่ผู้ผลิต ต้องพิจารณาเพื่อความสำเร็จในระยะยาว อุปสรรคที่สำคัญที่สุดยังคงเป็น ความกังวลเรื่องระยะทางวิ่งและแบตเตอรี่ (60%) ตามมาด้วยข้อกังวลด้านความปลอดภัย (54%) ที่รวมถึงเรื่องความเสี่ยงจากแบตเตอรี่ ข้อกังวลสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม (51%), สถานีชาร์จที่ไม่เพียงพอ (50%) และปัญหาสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ มูลค่าการขายต่อที่ไม่แน่นอน (42%)
อิปซอสส์ ยังได้วิเคราะห์ถึงผลสรุปสำคัญเพื่อให้เป็นมุมมองสำหรับผู้เล่นรายใหม่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ดังนี้:
- บริการหลังการขาย: ผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องความชำนาญ และความล่าช้าในการจัดหาอะไหล่
- คุณภาพแบตเตอรี่: ยังคงเป็นข้อกังวลหลัก ทั้งในเรื่องอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย
- ความน่าเชื่อถือของซอฟต์แวร์: ผู้บริโภคยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเสถียรในระยะยาว และกระบวนการอัปเดตซอฟต์แวร์ในตัวรถยนต์
- มูลค่าขายต่อ: แม้ว่าราคาที่ถูกลงจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น แต่อาจส่งผลให้มูลค่าขายต่อเมื่อเข้าสู่ตลาดรถยนต์มือสองลดลงตามไปด้วย
อนาคตของรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า
นายเสถียรสิทธิ ยังเผยว่า รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) จะยังคงมีบทบาทสำคัญและไม่หายไปจากท้องถนนของประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้ รถยนต์ ICE จะยังคงครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในบางเซ็กเมนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถกระบะ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากและเป็นส่วนสำคัญของภูมิทัศน์ยานยนต์ไทยมาอย่างยาวนาน ในขณะที่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตก็ยังคงลงทุนในการพัฒนารถยนต์ ICE ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ออกรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้อย่างน่าประทับใจ การอยู่ร่วมกันของเทคโนโลยีทั้งสองนี้สะท้อนให้เห็นถึงตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งทั้งสองเทคโนโลยีจะยังคงแข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค โดยแต่ละประเภทต่างมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน
อิปซอสส์ได้ฝากข้อสรุปสำหรับนักสร้างแบรนด์และนักการตลาด-ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายของรัฐบาลที่ตั้งให้ไทยผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ของยอดผลิต[SP4] รถยนต์นั่งทั้งหมดในปี 2030 จึงเป็นเป้าหมายที่ดูจะเป็นจริงได้มากขึ้น ด้วยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายที่เอื้ออำนวยและความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำเสนอรถยนต์ที่โดนใจผู้บริโภคคือ ความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมถึงเข้าใจวิธิคิดทั้งแง่บวกและแง่ลบที่มีต่อรถยนต์ชนิดต่างๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับตลาดรถในประเทศไทย ที่มีความหลายหลายทาง segment
ทั้งนี้การแข่งขันไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงแค่ประเภทเครื่องยนต์หรือพลังงานที่ขับเคลื่อน แต่การแข่งขันจะครอบคลุมทั้งกระบวนการตั้งแต่ ขั้นตอนการตัดสินใจ การใช้งาน ไปจนถึงระยะยาวจนกระทั่งรถยนต์คันนึงจะถูกเปลี่ยนหรือทดแทน ผู้บริโภคจะเรียนรู้และแสวงหาข้อมูลเพื่อพิจารณาว่ารถยนต์คันนั้นๆคุ้มค่าราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่
[SP1]Move to 2nd half of paper
[SP2]ผู้เล่นหน้าใหม่
[SP3]Added
[SP4]ผลิต