เจแอลแอล เผยผลสำรวจจากงานเสวนาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในหัวข้อ Workplace Evolution: People and Space

รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดยังคงได้รับความนิยม เนื่องจากช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้พนักงานด้วยการผสมผสานความยืดหยุ่นกับการทำงานร่วมกันในสำนักงาน ขณะที่หลายองค์กรเชื่อว่ารูปแบบดังกล่าวกำลังกลายเป็นแนวโน้มระยะยาว แต่ก็มีหลายองค์กรมุ่งส่งเสริมให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร เจแอลแอลได้เผยข้อสังเกตและผลสำรวจจากงานเสวนาด้านอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดในหัวข้อ Workplace Evolution: People and Space
งานประชุมดังกล่าวมีผู้บริหารระดับ C-suite, ผู้นำด้านทรัพยากรบุคคล, ผู้จัดการอาคาร และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์สถานที่ทำงานกว่า 120 คน จากบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วม โดยมีการเสวนาร่วมกับตัวแทนจากบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่, ไมโครซอฟท์ และเชลล์ พร้อมโพลสำรวจความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมในงาน
การเสวนาชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดยังคงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เพราะองค์กรเชื่อว่ารูปแบบนี้ช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ได้ ซึ่งสะท้อนจากผลสำรวจที่ 76% ของผู้ตอบระบุว่า องค์กรอนุญาตให้พนักงานทำงานนอกสำนักงานได้ 1–2 วันต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มที่บริษัทต่าง ๆ อยากให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานมากขึ้น การสร้างแรงจูงใจให้พนักงานกลับมานั้นยังคงเป็นเรื่องท้าทาย
หนึ่งในกลยุทธ์ที่องค์กรธุรกิจใช้เพื่อทำให้ออฟฟิศเป็นพื้นที่ทำงานที่น่าสนใจคือ การสร้างพื้นที่ทำงานร่วมกัน (collaboration spaces) เพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ห้องประชุมแบบเดิม แต่ครอบคลุมไปถึงล็อบบี้ พื้นที่เปิดโล่งพร้อมโซฟาและมุมกาแฟ ไปจนถึงห้องสมุด ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น กระตุ้นการสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความคิด และการแก้ปัญหาร่วมกัน พื้นที่เหล่านี้มักมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เก้าอี้ที่นั่งสบาย ไวท์บอร์ด และเทคโนโลยีต่าง ๆ รองรับกิจกรรมตั้งแต่การระดมสมองแบบไม่เป็นทางการไปจนถึงการประชุมเชิงโครงสร้าง
การดึงพนักงานกลับออฟฟิศไม่ใช่แค่เรื่องการทำงานร่วมกัน แต่ยังรวมถึง สุขภาวะของพนักงาน ด้วย การเสวนาระบุว่าสุขภาวะของพนักงานได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถานที่ทำงานที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง องค์กรตระหนักมากขึ้นว่าการดูแลสุขภาพกาย ใจ และสังคมของพนักงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ดึงดูดและรักษาบุคลากร และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีขึ้น ผลสำรวจภายในงานเสวนาของเจแอลแอลพบว่า 40% ของผู้ตอบระบุว่าสถานที่ทำงานของตนมีพื้นที่ด้านสุขภาวะ (wellness) อย่างน้อย 10% เช่น ฟิตเนส ห้องนั่งสมาธิ ห้องสำหรับคุณแม่ และพื้นที่ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ แต่เจแอลแอลมองว่าสัดส่วนนี้ควรสูงกว่านี้ในออฟฟิศสมัยใหม่ ที่สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาวะกลายเป็น สิ่งที่จำเป็นต้องมี (must-have)
อีกประเด็นสำคัญคือ ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equity & Inclusion หรือ DEI) ซึ่งเห็นพ้องกันว่าการให้ความสำคัญกับมุมมองที่หลากหลาย การสร้างโอกาสที่เท่าเทียม และวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง ช่วยให้องค์กรดึงดูดและรักษาคนเก่ง เพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน และขยายฐานลูกค้า แต่ผลสำรวจพบว่าเพียง 26% ขององค์กรมีการออกแบบสถานที่ที่ตอบโจทย์ความหลากหลายอย่างครบถ้วน เช่น ห้องละหมาด หรือทางเดินสำหรับผู้พิการ ขณะที่ 41% ยอมรับคุณค่าของ DEI แต่ยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการบูรณาการ DEI เข้าสู่วัฒนธรรมองค์กรและสถานที่ทำงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามกระแสสังคม
ความสำเร็จของการทำงานแบบไฮบริดยังขึ้นอยู่กับ เทคโนโลยี เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการสนับสนุนการทำงานนอกสำนักงาน การอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน และการรักษาประสิทธิภาพในการทำงาน เทคโนโลยียังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ดึงดูดให้พนักงานอยากกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ บริษัทต่าง ๆ ได้นำโซลูชันเทคโนโลยีมาใช้ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การประชุมออนไลน์ ระบบจองพื้นที่ทำงาน เฟอร์นิเจอร์ตามหลักสรีรศาสตร์ ระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ และระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ

นายธนานันต์ เรืองวีรวิชญ์ หัวหน้าแผนกบริการตัวแทนด้านการเช่าอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าวว่า “ในยุคที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น สถานที่ทำงานได้กลายเป็นปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างให้องค์กร บริษัทจำเป็นต้องใช้ทุกทรัพยากรเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ในด้านการดึงดูดทรัพยากรณ์บุคคลที่มีคุณภาพ การสื่อสารความเชื่อที่องค์กรยึดถือ เช่น การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี การยึดถือต่อความยั่งยืนในการทำธุรกิจ ความเสมอภาคของบุคคลที่หลากหลาย กลยุทธ์ด้านสถานที่ทำงานที่ตอบโจทย์อนาคตต้องบูรณาการประสบการณ์ของพนักงาน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ใช่เพียงวันนี้แต่รวมถึงวันข้างหน้า การพัฒนาสถานที่ทำงานจึงเป็นเรื่องของการปรับตัวมากกว่าการทำให้สมบูรณ์แบบ”
“การเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานที่ทำงานที่ให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นศูนย์กลาง กำลังเปลี่ยนวิธีคิดของลูกค้าเราในการวางกลยุทธ์ออฟฟิศระยะยาวในตลาดกรุงเทพฯ” นายเจมส์ เฮกห์ ลัมบี หัวหน้าฝ่ายตัวแทนผู้เช่าอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าว “องค์กรตระหนักมากขึ้นว่าสำนักงานต้องมอบประสบการณ์ที่พนักงานไม่สามารถหาได้จากการทำงานที่บ้าน พวกเขาไม่ได้มองหาเพียงพื้นที่คุ้มค่า แต่พร้อมลงทุนในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เลือกทำเลอย่างมีกลยุทธ์ และสามารถพิสูจน์ได้จริงว่าช่วยรักษาคนเก่งและดึงดูดบุคลากรชั้นนำ”