กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ร่วมกับ ปตท.สผ. มอบทุนศึกษาวิจัย แก่ 7 สถาบันพัฒนาองค์ความรู้ CCS สนับสนุนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero
นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นประธานในพิธีมอบทุนภายใต้โครงการวิจัยเพื่อการศึกษาวิจัยด้านการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS Development Project in Thailand) รวม 41 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ ปตท.สผ.อีดี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นการต่อยอดนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
ในปี ค.ศ. 2050
โครงการวิจัยเพื่อการศึกษาวิจัยด้านการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS Development Project in Thailand) เป็นการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และ ปตท.สผ.อีดี โดยได้เปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยจากสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ถึง 22 มีนาคม 2568 ซึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติและ ปตท.สผ.อีดี ได้พิจารณาคัดเลือกโครงการที่ได้รับทุน จำนวน 9 โครงการ มูลค่าทุนการศึกษาวิจัยรวมประมาณ 41 ล้านบาท และมีระยะเวลาการศึกษาวิจัยประมาณโครงการละ 2-3 ปี จากสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยชั้นนำ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โดยขอบเขตการศึกษาของโครงการศึกษาวิจัยที่ได้รับคัดเลือกมีความครอบคลุมด้านต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ด้านการสร้างแบบจำลองและการทดลองแบบปัญหา (Modeling and Simulation) ไปจนถึงด้านสังคมศาสตร์และนโยบายเพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนธุรกิจ CCS
นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า “เทคโนโลยี CCS หรือ Carbon Capture and Storage เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทย และเป็นกระบวนการที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งหลายประเทศได้นำมาใช้ ซึ่งการผลักดันโครงการ CCS ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน รวมทั้งกลไกหลายด้านที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ การสนับสนุนทุนวิจัยครั้งนี้นับเป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการระดมความรู้และความเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและพัฒนา CCS ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย
โดยดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายการพัฒนาพลังงานสะอาด ที่จะช่วยส่งเสริมให้การลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง และเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะสนับสนุนการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลที่เราต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมบุคลากรของประเทศด้วย”
ทั้งนี้ ในประเทศไทย ได้เริ่มมีการศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ตั้งแต่ปี 2564 โดยบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้นำร่องการศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ในอ่าวไทย และได้ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ไปเมื่อเดือนกันยายน 2568 คาดว่าจะสามารถเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 ซึ่งจะเป็นการนำร่องการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ อีกทั้ง โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังได้รับความเห็นชอบให้เป็นโครงการสำคัญที่ควรดำเนินการและผลักดันในระดับนโยบายภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปีพ.ศ. 2564 – 2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021 – 2030) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติพร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี CCS เพื่อให้การลดการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์พร้อมส่งเสริมการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน

นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นประธานในพิธีมอบทุนภายใต้โครงการวิจัยเพื่อการศึกษาวิจัยด้านการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS Development Project in Thailand) รวม 41 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ ปตท.สผ.อีดี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นการต่อยอดนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
ในปี ค.ศ. 2050

โครงการวิจัยเพื่อการศึกษาวิจัยด้านการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS Development Project in Thailand) เป็นการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และ ปตท.สผ.อีดี โดยได้เปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยจากสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ถึง 22 มีนาคม 2568 ซึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติและ ปตท.สผ.อีดี ได้พิจารณาคัดเลือกโครงการที่ได้รับทุน จำนวน 9 โครงการ มูลค่าทุนการศึกษาวิจัยรวมประมาณ 41 ล้านบาท และมีระยะเวลาการศึกษาวิจัยประมาณโครงการละ 2-3 ปี จากสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยชั้นนำ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โดยขอบเขตการศึกษาของโครงการศึกษาวิจัยที่ได้รับคัดเลือกมีความครอบคลุมด้านต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ด้านการสร้างแบบจำลองและการทดลองแบบปัญหา (Modeling and Simulation) ไปจนถึงด้านสังคมศาสตร์และนโยบายเพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนธุรกิจ CCS
นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า “เทคโนโลยี CCS หรือ Carbon Capture and Storage เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทย และเป็นกระบวนการที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งหลายประเทศได้นำมาใช้ ซึ่งการผลักดันโครงการ CCS ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน รวมทั้งกลไกหลายด้านที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ การสนับสนุนทุนวิจัยครั้งนี้นับเป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการระดมความรู้และความเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและพัฒนา CCS ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย
โดยดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายการพัฒนาพลังงานสะอาด ที่จะช่วยส่งเสริมให้การลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง และเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะสนับสนุนการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลที่เราต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมบุคลากรของประเทศด้วย”
ทั้งนี้ ในประเทศไทย ได้เริ่มมีการศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ตั้งแต่ปี 2564 โดยบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้นำร่องการศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ในอ่าวไทย และได้ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ไปเมื่อเดือนกันยายน 2568 คาดว่าจะสามารถเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 ซึ่งจะเป็นการนำร่องการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ อีกทั้ง โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังได้รับความเห็นชอบให้เป็นโครงการสำคัญที่ควรดำเนินการและผลักดันในระดับนโยบายภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปีพ.ศ. 2564 – 2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021 – 2030) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติพร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี CCS เพื่อให้การลดการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์พร้อมส่งเสริมการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน