
ตลาดอะไหล่รถยนต์ยังคงแข็งแกร่ง แม้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว พฤติกรรมผู้ใช้รถหันมาให้ความสำคัญกับอะไหล่คุณภาพสูง ใช้งานได้ยาวนานและคุ้มค่า ส่งผลให้ความต้องการอะไหล่สำหรับการซ่อมบำรุง REM ยังเติบโตต่อเนื่อง หนุนยอดขาย “POP” อะไหล่รถยนต์มาตรฐานสากลโดยฝีมือคนไทย ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ชลิต อินดัสทรี จำกัด ผู้นำตลาดอะไหล่ทดแทน REM (Replacement Equipment Manufacturing) (REM) และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ (OEM) รายใหญ่ของไทยและต่างประเทศ โตตามเป้าที่วางไว้15% พร้อมเดินหน้ารุกตลาดปี 2569 ด้วยการเพิ่มเครือข่ายร้านค้า อู่ซ่อมบำรุง และการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเพื่อขยายโอกาสในต่างประเทศให้มากขึ้น
นายชวิศ ยงเห็นเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชลิต อินดัสทรี จำกัดผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของไทย ภายใต้แบรนด์“POP” ที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศมากว่า 30 ปี มีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมมากกว่า 6,000 รายการ อาทิ ยางแท่นเครื่องยางแท่นเกียร์ ยางกันกระแทก ยางเพลากลาง บูชปีกนก และบูชโช๊คอัพล่าง ครอบคลุมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถเพื่อการพาณิชย์ และรถแข่ง เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอะไหล่ยานยนต์ไทยปี 2568 เป็นปีที่อุตสาหกรรมอะไหล่ยานยนต์ไทยต้องปรับตัวทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว พฤติกรรมผู้ใช้รถให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความทนทานและรถยนต์อายุการใช้งานเฉลี่ยที่ยาวขึ้น ซึ่งเจ้าของรถส่วนใหญ่เลือก“ซ่อม–บำรุง” รถที่ใช้อยู่แทนการเปลี่ยนรถใหม่ ผู้บริโภคจึงต้องการอะไหล่ที่ทนจริง คุ้มค่าจริง และเหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย ทำให้ดีมานด์อะไหล่คุณภาพสูงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดซ่อมบำรุง (REM) ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจชะลอตัว

“จากการที่รถมีอายุใช้งานเฉลี่ยที่ยาวขึ้นทำให้ผู้บริโภคต้องการชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความทนทานมียอดใช้สูงขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มช่วงล่างและระบบรองรับต่างๆ ซึ่งอะไหล่ POP ได้รับความไว้วางใจมานานกว่า 30 ปี เพราะความทนจริง และการทดสอบคุณภาพที่เข้มงวดในระดับโรงงาน ทำให้อะไหล่ POP สามารถรักษาการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้15% ด้วยการใช้กลยุทธ์เชิงรุกทั้งด้านคุณภาพสินค้า การขยายเครือข่ายคู่ค้า และการผลักดันสินค้ากลุ่มหลักให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มุ่งหาความทนทานมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มแท่นเครื่องและบูชปีกนกที่มียอดเติบโตโดดเด่นที่สุด” นายชวิศ กล่าวและเสริมว่า
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2568 แบรนด์ POP เติบโตได้ตามเป้าหมาย จากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มยางรองแท่นเครื่อง และ บูชปีกนก เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่สึกหรอเร็ว ผู้ใช้รถต้องการคุณภาพที่พิสูจน์ได้จริง ขณะเดียวกัน บริษัทได้ขยายคู่ค้าร้านอะไหล่และอู่บริการในหลายจังหวัด พร้อมยกระดับการบริหารควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน
นายชวิศ กล่าวเสริมว่า การเติบโตของอะไหล่POP มาจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านคุณภาพสินค้าและมาตรฐานการผลิต วยคุณภาพISO 9001 พร้อมทดสอบชิ้นส่วนในหลายด้าน เช่น Fatigue, Hardness, NVH รวมถึงการพัฒนาสูตรยางที่เหมาะกับอากาศร้อนและการใช้งานในประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้ลูกค้าผู้ใช้รถเน้นที่ความทนทานความคุ้มค่า และความน่าเชื่อถือ เราจึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด พร้อมขยายSKU ให้ครอบคลุมมากขึ้นจาก 5,000 กว่ารายการเพิ่มกว่า 6,000 รายการ ครอบคลุมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถเพื่อการพาณิชย์ และรถแข่งเพื่อเสริมความมั่นใจให้ลูกค้าและคู่ค้าของเรา
ปัจจุบันแบรนด์ POP มียอดขายในประเทศ 80% และต่างประเทศ20% โดยบริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนการส่งออกในปีหน้าผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีความเชี่ยวชาญตลาดอะไหล่หลังการขาย (Aftermarket) ในภูมิภาคต่างๆ พร้อมมีแผนที่จะเพิ่ม SKU อะไหล่ในแต่ละประเภทให้รองรับรถรุ่นยอดนิยมในแต่ละประเทศมากขึ้น ส่วนตลาดในประเทศบริษัทตั้งเป้าครอบคลุมร้านอะไหล่และอู่บริการ พร้อมพัฒนาโปรแกรมเพื่อสนับสนุนความรู้ให้ช่างและอู่ซ่อมรถทั่วประเทศเพื่อรองรับการแข่งขันที่เข้มข้นและเทรนด์การค้นหาข้อมูลออนไลน์มากขึ้นของผู้ใช้รถ
“สำหรับทิศทางปีหน้า บริษัทพร้อมเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีชิ้นส่วนยางสูตรใหม่ เพิ่มความทนทานของอะไหล่ในกลุ่มช่วงล่าง และขยายตลาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์POP ให้เป็นผู้นำอะไหล่คุณภาพสูงของไทย ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้รถในทุกสภาพการใช้งานอย่างแท้จริงกว่า 30 ปี ที่อะไหล่ POP เติบโตมาจากความไว้วางใจของร้านอะไหล่ ช่าง และผู้ใช้รถ เราจะไม่หยุดพัฒนาคุณภาพ เพื่อให้ POP เป็นแบรนด์ไทยที่ทุกคนภูมิใจ” นายชวิศ กล่าวปิดท้าย