
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 พอร์ตสินเชื่อรวมแตะระดับ 174,807 ล้านบาท เติบโต 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 7,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% และมีกำไรสุทธิ 1,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% โดยยังสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ คงอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.62% ฟากผู้บริหาร “ปริทัศน์ เพชรอำไพ” ระบุ ครึ่งปีหลังเดินหน้าส่งมอบบริการทางการเงินในมาตรฐานสากลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เติบโตมั่นคง

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกจะเริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวลงจากปัจจัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว แรงกดดันจากการปรับขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตด้วยกลยุทธ์การขยายพอร์ตสินเชื่อผ่านเครือข่ายกว่า 8,433 สาขาทั่วประเทศ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่ยังคงพึ่งพาสินเชื่อนอกระบบ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนได้รับบริการทางการเงินที่โปร่งใส เข้าถึงง่าย และเป็นธรรม พร้อมมีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น
โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 174,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.02% รายได้รวม 7,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.45% และกำไรสุทธิ 1,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.06% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสามารถควบคุมคุณภาพหนี้เสีย (NPL) ไว้ที่ 2.62% ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 14,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.84% และกำไรสุทธิ 3,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.55% เทียบช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน
สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 บริษัทฯ มั่นใจว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตประมาณ 10-15% และควบคุมสัดส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไว้ให้ไม่เกิน 2.70% ตามเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งยังคงมุ่งมั่นส่งมอบโอกาสทางการเงินให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับดีเลิศ (5 ดาว) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ควบคู่กับผลประเมินหุ้นยั่งยืน (ESG Ratings) ระดับ AAA จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ MSCI ESG Index ระดับ AA อีกทั้งยังได้รับอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (National Long-Term Rating) ที่ A-(tha) จาก Fitch Ratings สะท้อนความเป็นผู้นำในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์มาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance) และล่าสุดยังได้คว้ารางวัล “Best Micro Finance Company Thailand 2025” จากเวที Global Banking & Finance Awards สะท้อนความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก เช่น บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC), องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และ บริษัทเพื่อการลงทุนและการพัฒนาแห่งเยอรมนี (KfW DEG) เป็นต้น และยินดีที่จะร่วมมือกับแหล่งเงินทุนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศอีกหลายแห่งในอนาคต เพื่อส่งเสริมศักยภาพลูกค้าในการดำเนินธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน รักษาเสถียรภาพทางสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นที่พึ่งพาทางการเงินและเติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน