
ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธาร อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ครั้งที่ 4/2568 ณ ห้องประชุมตากสิน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดจันทบุรี โดยมีนายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) พร้อมด้วยนายวุฒิพงษ์ อภิชนบุตร หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการพลังงานทดแทน นายมนฑล เวชชาญชัย หัวหน้าโครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าและสรุปแนวทางแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- พื้นที่เกาะที่ถูกบุกรุกทั้ง 5 แห่ง ภายในอ่างเก็บน้ำโครงการ ให้ พพ. ดำเนินการแจ้งกรมป่าไม้เพื่อดำเนินคดี
ตามระเบียบของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติต่อไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ
2. พื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำ (ป่าตกพรม) ได้แยกเป็น 2 กรณี คือ
2.1 พื้นที่ที่ไม่ทับซ้อนกับเขต ส.ป.ก. ผู้ที่ยังไม่รื้อถอนให้นำเข้าสู่กระบวนการเจรจา โดยให้ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรีแจ้งผู้บุกรุกมาลงบันทึกประจำวัน ยอมรับการบุกรุกและให้คำยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง พร้อมลงนามในหนังสือยินยอมตามกฎหมาย หากผู้ใดไม่ยินยอม พพ. จะมีหนังสือแจ้งกรมป่าไม้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
2.2 พื้นที่ที่ทับซ้อนกับเขต ส.ป.ก. ให้ พพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหาแนวทางการเพิกถอนหรือปรับเปลี่ยนเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
3. พื้นที่รอบบริเวณโรงไฟฟ้าและสำนักงาน (ป่าปัถวี) ให้ผู้บุกรุกมาลงบันทึกประจำวัน ยอมรับการบุกรุกและให้ความยินยอมรื้อถอน หากไม่ยินยอม ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมีกรณีวัดที่บุกรุกพื้นที่ใกล้อุโมงค์ส่งน้ำ โดยได้มอบหมายให้ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรีเจรจา หากยังไม่ยินยอมให้รื้อถอน จะให้ พพ. ทำหนังสือแจ้งกรมป่าไม้ดำเนินคดีตามระเบียบพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และแจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไป


ทั้งนี้ สำหรับผู้บุกรุกที่มีฐานะยากจนและไม่มีที่ทำกิน จะมีการตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาแนวทางอย่างเหมาะสมต่อไป และสำหรับการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นให้การแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธารเป็นไปตามกฎหมาย พร้อมทั้งหามาตรการช่วยเหลือผู้ยากจนและผู้ที่ไม่มีที่ทำกิน เพื่อให้การจัดการพื้นที่พลังงานของประเทศดำเนินไปควบคู่กับการดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างเหมาะสม