
บราสเคม สยาม บริษัทร่วมทุนใน SCGC และ Braskem ได้รับเลือกจากบีโอไอเข้า มาตรการ Thailand FastPass เร่งเดินหน้าโครงการเอทิลีนชีวภาพรายแรกในเอเชีย หนุนไทยสู่ฐานการผลิตยั่งยืนสู่ตลาดโลก
บราสเคม สยาม บริษัทร่วมทุนระหว่าง เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน และบราสเคม ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากประเทศบราซิล เผยความคืบหน้าของโครงการเอทิลีนชีวภาพ โดยล่าสุด ได้รับคัดเลือกจากบีโอไอให้เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องตามมาตรการ Thailand FastPass ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่ภาครัฐนำมาใช้เพื่อปลดล็อกอุปสรรคของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถเดินหน้าลงทุนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าโรงงานเอทิลีนชีวภาพจะแล้วเสร็จในปี 2571 พร้อมกำลังการผลิต 200,000 ตันต่อปี ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตเอทิลีนชีวภาพรายแรกในเอเชีย รองรับความต้องการพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั่วโลก พร้อมเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้กับประเทศ

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC และประธานกรรมการ บริษัทบราสเคม สยาม จำกัด เผยว่า “โครงการเอทิลีนชีวภาพถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ของไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเอเชียและยุโรป ตลอดจนส่งเสริมการส่งออก ช่วยหนุนอุตสาหกรรมเอทานอล และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เช่น การพิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งโรงงานเป็นเขตปลอดอากรประเภทอุตสาหกรรม หรือ Industrial Free Zone การได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) เป็นต้น ส่งผลให้โครงการมีความคืบหน้าตามลำดับ นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกจากบีโอไอตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ให้เป็นโครงการนำร่องในมาตรการ Thailand FastPass จะยิ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วและความคล่องตัวในการดำเนินโครงการให้ดียิ่งขึ้น”
นายศักดิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันบราสเคม สยาม เตรียมเข้าสู่ขั้นตอนสรุปรูปแบบการก่อสร้างโรงงาน (Engineering, Procurement and Construction : EPC) ในไตรมาส 1 ปี 2569 และคาดว่าจะได้รับการอนุมัติการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision – FID) ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2569 หากขั้นตอนต่าง ๆ ลุล่วงตามแผน คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จในปี 2571 ซึ่งถือเป็นโรงงานแห่งแรกนอกประเทศบราซิล ด้วยกำลังการผลิตเอทิลีนชีวภาพ 200,000 ตันต่อปี เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกชีวภาพภายใต้แบรนด์ “I’m green™”
“เอทิลีนชีวภาพผลิตจากเอทานอลที่ใช้ผลิตผลจากภาคเกษตรแทนเอทิลีนจากฟอสซิล ถือเป็นโซลูชันที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลบ (Negative Carbon Footprint) ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิในบรรยากาศได้ถึง 1 ล้านตันต่อปี อีกทั้งสามารถรีไซเคิลได้เช่นเดียวกับพลาสติกทั่วไป สามารถนำไปผลิตบรรจุภัณฑ์และสินค้าในชีวิตประจำวันหลากหลายประเภท จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ผลิต เจ้าของแบรนด์ และผู้บริโภคที่มองหาโซลูชันเพื่อความยั่งยืน และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายการด้าน ESG ของ SCGC ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 700,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573 เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593” นายศักดิ์ชัย กล่าวทิ้งท้าย