
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ รายงานผลประกอบการภายใต้มาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 17 และ TFRS 9) โดยยังคงมีผลกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 2,638 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 20.4% ขณะที่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 2,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการกำหนดกลยุทธ์การเน้นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าในระยะยาว
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า การเติบโตของ VONB มาจากยอดขายผ่านช่องทางตัวแทนฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะการขายสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้แนวปฏิบัติประกันสุขภาพแบบมีส่วนร่วมจ่าย หรือ Copayment ขณะเดียวกันตัวแทนฯ ของบริษัทฯ ยังสามารถนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและมีมูลค่าสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 3,718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของบริษัทฯ หลังจากปรับใช้มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ ยังสูงถึง 2,683 ล้านบาท เทียบเท่ากับอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin ที่ 20.4% แม้จะมีผลกระทบบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทการลงทุน แต่บริษัทฯ ยังมีกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก อยู่ที่ 2,428 ล้านบาท
สำหรับกำไรในส่วนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สูงถึง 2,752 ล้านบาท เติบโต 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรจากการลงทุนที่ไม่รวมรายการพิเศษ และผลกระทบจากความผันผวนของตลาดยังคงมีความมั่นคง สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2567 บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ จากการลงทุนผ่านหน่วยลงทุน เป็นกองทุนส่วนบุคคล เพื่อให้สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมการลงทุนผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (Fair Value through Other Comprehensive Income – FVOCI) แทนการรับรู้ผ่านกำไรสุทธิ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น ทำให้กำไรสุทธิหลังปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่สะท้อนเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนที่ยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางที่เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง นอกจากนี้ พอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มากกว่า 90% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมดอยู่ในรูปแบบตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่น่าลงทุน
ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ที่ 551% สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ. กำหนดที่ 140% และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A- (IFS Rating) และ AAA(tha) (National IFS Rating) โดยมีมุมมองมีเสถียรภาพ
ไม่เฉพาะการสร้างความมั่นคงทางการเงินและการสร้างกำไรที่ยั่งยืน บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นยกระดับการดำเนินงานในทุกด้านตามเจตนารมณ์ทางธุรกิจที่มุ่งเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ด้วยการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในทุกช่วงชีวิต ทุกจังหวะชีวิต และทุกการใช้ชีวิตของคนไทย และพัฒนาประสิทธิภาพการบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ผ่าน “แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต” ที่มีลูกค้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 1 ล้านคน มีการเพิ่มบริการ Live Chat เพื่อให้บริการข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ พร้อมเปิดตัวบริการ “ไทยประกันชีวิต AI Chat” บน LINE Official Account : Thai Life Insurance โดยได้นำเทคโนโลยี Generative AI พัฒนาเพื่อให้บริการข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้าและผู้สนใจผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต
นายไชยกล่าวว่า “ไทยประกันชีวิตเดินหน้าสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมตามแนวทาง ESG ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม อาทิ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ เพื่อชีวิตใหม่หัวใจเด็ก,
ไทยประกันชีวิต เสริมโอกาส สร้างอาชีพ, Thai Life Insurance Sports Showcase, ไทยประกันชีวิต Read for Life และโครงการที่สร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนอีกหลายโครงการ
ในด้านสิ่งแวดล้อม อาคารไทยประกันชีวิตได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา หรือ LEED (The Leadership in Energy and Environmental Design) ระดับ GOLD โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจาก U.S. Green Building Council (USGBC) & Green Business Certification Institute (GBCI) และบริษัทฯ ยังได้รับการรับรองการวัดผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน ISO 14064-1:2018
นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทฯ ยังมีการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืนมูลค่า 25,831 ล้านบาท คิดเป็น 4.46% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดในปี 2567 เหล่านี้ล้วนสะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้กับชีวิตคนไทยอย่างแท้จริง”
ไทยประกันชีวิตแจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ โชว์กำไรสุทธิแข็งแกร่ง 2,683 ล้านบาท มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่เติบโต 39.5% จากกลยุทธ์เน้นผลิตภัณฑ์ที่สร้างกำไรระยะยาว เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อส่งมอบประสบการณ์ไร้รอยต่อให้ลูกค้า
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ รายงานผลประกอบการภายใต้มาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 17 และ TFRS 9) โดยยังคงมีผลกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 2,638 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 20.4% ขณะที่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 2,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการกำหนดกลยุทธ์การเน้นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าในระยะยาว
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า การเติบโตของ VONB มาจากยอดขายผ่านช่องทางตัวแทนฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะการขายสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้แนวปฏิบัติประกันสุขภาพแบบมีส่วนร่วมจ่าย หรือ Copayment ขณะเดียวกันตัวแทนฯ ของบริษัทฯ ยังสามารถนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและมีมูลค่าสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 3,718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของบริษัทฯ หลังจากปรับใช้มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ ยังสูงถึง 2,683 ล้านบาท เทียบเท่ากับอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin ที่ 20.4% แม้จะมีผลกระทบบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทการลงทุน แต่บริษัทฯ ยังมีกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก อยู่ที่ 2,428 ล้านบาท
สำหรับกำไรในส่วนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สูงถึง 2,752 ล้านบาท เติบโต 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรจากการลงทุนที่ไม่รวมรายการพิเศษ และผลกระทบจากความผันผวนของตลาดยังคงมีความมั่นคง สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2567 บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ จากการลงทุนผ่านหน่วยลงทุน เป็นกองทุนส่วนบุคคล เพื่อให้สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมการลงทุนผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (Fair Value through Other Comprehensive Income – FVOCI) แทนการรับรู้ผ่านกำไรสุทธิ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น ทำให้กำไรสุทธิหลังปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่สะท้อนเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนที่ยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางที่เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง นอกจากนี้ พอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มากกว่า 90% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมดอยู่ในรูปแบบตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่น่าลงทุน
ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ที่ 551% สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ. กำหนดที่ 140% และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A- (IFS Rating) และ AAA(tha) (National IFS Rating) โดยมีมุมมองมีเสถียรภาพ
ไม่เฉพาะการสร้างความมั่นคงทางการเงินและการสร้างกำไรที่ยั่งยืน บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นยกระดับการดำเนินงานในทุกด้านตามเจตนารมณ์ทางธุรกิจที่มุ่งเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ด้วยการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในทุกช่วงชีวิต ทุกจังหวะชีวิต และทุกการใช้ชีวิตของคนไทย และพัฒนาประสิทธิภาพการบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ผ่าน “แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต” ที่มีลูกค้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 1 ล้านคน มีการเพิ่มบริการ Live Chat เพื่อให้บริการข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ พร้อมเปิดตัวบริการ “ไทยประกันชีวิต AI Chat” บน LINE Official Account : Thai Life Insurance โดยได้นำเทคโนโลยี Generative AI พัฒนาเพื่อให้บริการข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้าและผู้สนใจผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต
นายไชยกล่าวว่า “ไทยประกันชีวิตเดินหน้าสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมตามแนวทาง ESG ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม อาทิ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ เพื่อชีวิตใหม่หัวใจเด็ก,
ไทยประกันชีวิต เสริมโอกาส สร้างอาชีพ, Thai Life Insurance Sports Showcase, ไทยประกันชีวิต Read for Life และโครงการที่สร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนอีกหลายโครงการ
ในด้านสิ่งแวดล้อม อาคารไทยประกันชีวิตได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา หรือ LEED (The Leadership in Energy and Environmental Design) ระดับ GOLD โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจาก U.S. Green Building Council (USGBC) & Green Business Certification Institute (GBCI) และบริษัทฯ ยังได้รับการรับรองการวัดผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน ISO 14064-1:2018
นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทฯ ยังมีการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืนมูลค่า 25,831 ล้านบาท คิดเป็น 4.46% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดในปี 2567 เหล่านี้ล้วนสะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้กับชีวิตคนไทยอย่างแท้จริง”
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ รายงานผลประกอบการภายใต้มาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 17 และ TFRS 9) โดยยังคงมีผลกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 2,638 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 20.4% ขณะที่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 2,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการกำหนดกลยุทธ์การเน้นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าในระยะยาว

นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า การเติบโตของ VONB มาจากยอดขายผ่านช่องทางตัวแทนฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะการขายสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้แนวปฏิบัติประกันสุขภาพแบบมีส่วนร่วมจ่าย หรือ Copayment ขณะเดียวกันตัวแทนฯ ของบริษัทฯ ยังสามารถนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและมีมูลค่าสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 3,718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของบริษัทฯ หลังจากปรับใช้มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ ยังสูงถึง 2,683 ล้านบาท เทียบเท่ากับอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin ที่ 20.4% แม้จะมีผลกระทบบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทการลงทุน แต่บริษัทฯ ยังมีกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก อยู่ที่ 2,428 ล้านบาท
สำหรับกำไรในส่วนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สูงถึง 2,752 ล้านบาท เติบโต 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรจากการลงทุนที่ไม่รวมรายการพิเศษ และผลกระทบจากความผันผวนของตลาดยังคงมีความมั่นคง สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2567 บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ จากการลงทุนผ่านหน่วยลงทุน เป็นกองทุนส่วนบุคคล เพื่อให้สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมการลงทุนผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (Fair Value through Other Comprehensive Income – FVOCI) แทนการรับรู้ผ่านกำไรสุทธิ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น ทำให้กำไรสุทธิหลังปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่สะท้อนเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนที่ยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางที่เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง นอกจากนี้ พอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มากกว่า 90% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมดอยู่ในรูปแบบตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่น่าลงทุน
ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ที่ 551% สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ. กำหนดที่ 140% และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A- (IFS Rating) และ AAA(tha) (National IFS Rating) โดยมีมุมมองมีเสถียรภาพ
ไม่เฉพาะการสร้างความมั่นคงทางการเงินและการสร้างกำไรที่ยั่งยืน บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นยกระดับการดำเนินงานในทุกด้านตามเจตนารมณ์ทางธุรกิจที่มุ่งเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ด้วยการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในทุกช่วงชีวิต ทุกจังหวะชีวิต และทุกการใช้ชีวิตของคนไทย และพัฒนาประสิทธิภาพการบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ผ่าน “แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต” ที่มีลูกค้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 1 ล้านคน มีการเพิ่มบริการ Live Chat เพื่อให้บริการข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ พร้อมเปิดตัวบริการ “ไทยประกันชีวิต AI Chat” บน LINE Official Account : Thai Life Insurance โดยได้นำเทคโนโลยี Generative AI พัฒนาเพื่อให้บริการข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้าและผู้สนใจผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต
นายไชยกล่าวว่า “ไทยประกันชีวิตเดินหน้าสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมตามแนวทาง ESG ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม อาทิ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ เพื่อชีวิตใหม่หัวใจเด็ก,
ไทยประกันชีวิต เสริมโอกาส สร้างอาชีพ, Thai Life Insurance Sports Showcase, ไทยประกันชีวิต Read for Life และโครงการที่สร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนอีกหลายโครงการ
ในด้านสิ่งแวดล้อม อาคารไทยประกันชีวิตได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา หรือ LEED (The Leadership in Energy and Environmental Design) ระดับ GOLD โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจาก U.S. Green Building Council (USGBC) & Green Business Certification Institute (GBCI) และบริษัทฯ ยังได้รับการรับรองการวัดผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน ISO 14064-1:2018
นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทฯ ยังมีการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืนมูลค่า 25,831 ล้านบาท คิดเป็น 4.46% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดในปี 2567 เหล่านี้ล้วนสะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้กับชีวิตคนไทยอย่างแท้จริง”