
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับ ศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เขตสุขภาพที่ 9 จ.สุรินทร์ เน้น 4 แนวทางหลักดูแลสุขภาพประชาชน ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ จากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
นายแพทย์เทวัญ ธานีรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นย้ำถึงการบูรณาการศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเข้ากับระบบสาธารณสุขในภาวะวิกฤต โดยมีศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เขตสุขภาพที่ 9 จังหวัดสุรินทร์ เป็นแกนหลักในการดำเนินงาน
นายแพทย์เทวัญกล่าวว่า ภารกิจสำคัญครั้งนี้มุ่งเน้นการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งทางกายและใจ ผ่านกลยุทธ์ 4 แนวทางหลัก เพื่อให้การดูแลสุขภาพเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน ดังนี้
1.การประสานความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศูนย์ฯ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขและความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อวางแผนการให้บริการที่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง
2.การให้บริการผ่านระบบทางไกล (Telemedicine): ระบบ DTAM Telemedicine เป็นหัวใจสำคัญ ในการลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย ทำให้สามารถเข้าถึงการวินิจฉัยและคำปรึกษาจากแพทย์แผนไทยได้โดยไม่จำเป็น ต้องเดินทางมายังจุดบริการ ซึ่งช่วยลดความแออัดในศูนย์อพยพและลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
3.บริการรักษา ณ จุดพักพิงและศูนย์อพยพ โดยทีมแพทย์แผนไทยได้ลงพื้นที่ให้บริการอย่างครอบคลุม ทั้งการตรวจรักษา จ่ายยาสมุนไพร รวมถึงการทำหัตถการ เช่น การพอกยา แช่ยา สมาธิบำบัด SKT และการฝึกฤาษีดัดตน เพื่อช่วยบำบัดอาการเครียดและความเจ็บป่วยเบื้องต้นที่มักพบในภาวะวิกฤต
4. การแจกจ่ายยาและเวชภัณฑ์สมุนไพร มีการจัดส่งยาสมุนไพรที่จำเป็นจำนวนมากไปยังศูนย์พักพิงที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ฟ้าทะลายโจรแคปซูล 2,000 แคปซูล, ยาน้ำมะขามป้อม 432 ขวด, ยาอมมะแว้ง 802 ซอง, ไพลครีม 122 หลอด, จันทลีลา 4,000 แคปซูล, ยาขมิ้นชัน 3,000 แคปซูล, ยากล้วยผง 400 ซอง, ยาหอมเทพจิตร 500 ซอง และ คาลาไมน์พญายอ 160 ขวด เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถเข้าถึงยาที่จำเป็นได้ทันท่วงที
จากการสำรวจพบว่า ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่มีอาการวิงเวียนศีรษะ เครียด ไอ และอาการคันตามผิวหนัง ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่ร้อนและแมลงสัตว์กัดต่อย จึงได้ให้การดูแลรักษาตามมาตรฐานการแพทย์แผนไทย โดยเน้นการวินิจฉัยเบื้องต้นเพื่อปรับสมดุลร่างกายและบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
นายแพทย์เทวัญ กล่าวย้ำว่า “การให้บริการแพทย์แผนไทยในภาวะวิกฤตชายแดนต้องดำเนินการ ด้วยความยืดหยุ่น ปลอดภัย และตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของผู้ลี้ภัยได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านทรัพยากร พื้นที่ และข้อจำกัดของสถานการณ์ โดยยังคงยึดหลัก การแพทย์ที่เข้าถึงได้ทุกคน เป็นหัวใจของการทำงาน พร้อมทิ้งท้าย ด้วยคำกล่าวที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นว่า “แม้สถานการณ์จะไม่ปกติ แต่การดูแลประชาชนต้องไม่หยุดยั้ง”ความพยายามของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำบทบาทของการแพทย์แผนไทยในการสนับสนุนระบบสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน และความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในสถานการณ์ ที่ท้าทาย