
สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ได้รับเกียรติจาก นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวเปิดงานและร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ระหว่างสำนักงาน กขค. กับหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรม 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมบังคับคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 68 กำหนดให้ รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มาตรา 53 ยังกำหนดให้รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กระทรวงยุติธรรมซึ่งมีภารกิจด้านการอำนวยความยุติธรรม จึงเห็นว่า การจัดทำ MOU ในครั้งนี้มีความสำคัญกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวแล้ว ยังเป็นก้าวสำคัญในการร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ต่อไป

พิธีลงนาม MOU ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) โดยเป็นการลงนามแบบ “ทวิภาคี” มีสำนักงาน กขค. เป็นเจ้าภาพหลัก โดย ผศ. ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการ กขค. ได้ลงนามใน MOU จำนวน 3 ฉบับ ร่วมกับ นายเสกสรร สุขแสง อธิบดีกรมบังคับคดี พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ผศ.วรวีร์ ไวยวุฒิ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นผู้แทนลงนามของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งบรรยากาศภายในงานเป็นไปในทิศทางที่ดี แสดงถึงการมีเป้าหมายที่จะร่วมมือกันบูรณาการความรู้และประสบการณ์ รวมถึงประสานการทำงานด้านการบังคับใช้กฎหมายภายใต้ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนหรือเชื่อมโยงข้อมูลอันเป็นประโยชน์ ตลอดจนให้การสนับสนุน
ในการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการระหว่างกัน MOU ดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือ
อย่างเป็นรูปธรรมระหว่างสำนักงาน กขค. กับกรมบังคับคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
การลงนาม MOU ในครั้งนี้ รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม รองประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน โดยกล่าวว่า การที่สำนักงาน กขค. ประสานความร่วมมือกับทั้ง 3 หน่วยงาน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายภายใต้อำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า เพื่อให้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรมตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ กฎหมายมิได้เป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความยุติธรรมในเชิงสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่มีผลอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจให้เข้าสู่ตลาดและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประเทศไทยเข้าสู่การค้าเสรีกับคู่ค้าจำนวนมากซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทจากต่างชาติเข้ามาค้าขายในประเทศ ดังนั้น การจัดทำ MOU นี้ จะช่วยเพิ่มความสามารถของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ในการเปิดตลาดและเปิดโอกาสให้บริษัทของไทยสามารถแข่งขันได้กับบริษัทข้ามชาติในตลาดไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนและหลุดพ้นจากกับดักความยากจนที่เผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน ผศ. ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการ กขค. เปิดเผยที่มาและวัตถุประสงค์ของการลงนาม MOU ในครั้งนี้ว่า กขค. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยมีสำนักงาน กขค. เป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของ กขค. ส่วนกรมบังคับคดี เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการบังคับคดี โดยมีภารกิจเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่ง คดีล้มละลาย คดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ตามคำสั่งศาล ฯลฯ นอกจากนี้ กรมบังคับคดียังให้บริการตรวจสอบข้อมูลบุคคลล้มละลายทั่วประเทศด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี เนื่องจาก พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนทั้งโทษอาญา และโทษทางปกครอง ซึ่งในคดีที่มีโทษทางปกครองหากผู้รับคำสั่งไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง สำนักงาน กขค. จะต้องดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองต่อไป
การจัดทำ MOU ครั้งนี้ สำนักงาน กขค. และกรมบังคับคดี มีเจตจำนงที่จะร่วมมือกันในการเชื่อมโยงข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับบุคคลล้มละลายผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่กรมบังคับคดีได้จัดเตรียมไว้ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบข้อมูลบุคคลล้มละลายให้มีความรวดเร็วและถูกต้องสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองของสำนักงาน กขค. ต่อไป
สำหรับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนและสอบสวนคดีความผิดทางอาญา ที่ต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนโดยใช้วิธีการพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ การจัดทำ MOU ครั้งนี้ สำนักงาน กขค. และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตกลงที่จะร่วมมือในการสนับสนุนการปฏิบัติงาน การถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรด้านการสืบสวนและสอบสวนคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานตามภารกิจของทั้งสองหน่วยงานต่อไป
ส่วนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในด้านนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะในการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประกอบ การดำเนินกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการจัดทำ MOU ครั้งนี้ สำนักงาน กขค. และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจตามกฎหมายของทั้งสองหน่วยงาน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาทางวิชาการภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ปิดท้ายด้วยการเสวนาในหัวข้อ “การพัฒนากฎหมายพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์: ความท้าทายและแนวทางในยุคดิจิทัล” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายไกรพล อรัญรัตน์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำสำนักประธานศาลฎีกา ดร.อมรรัตน์ เล็กวิชัย นักนิติวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พันตำรวจตรีนิติ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูล
การตรวจสอบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ศ.ณรงค์ ใจหาญ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย นายอัฐนันท์ ชลายนนาวิน นักสืบสวนสอบสวน ฝ่ายกฎหมายและพัฒนาการบังคับใช้กฎหมาย สำนักงาน กขค. บรรยากาศในการเสวนาได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับกระบวนการเก็บพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ หลักเกณฑ์การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา การรับฟังพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของต่างประเทศ และแนวโน้มการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการนำพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการพิจารณาคดี เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี
การแข่งขันทางการค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ต่อไป